เมื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้สำเร็จ (Connected) แต่ไอคอนดันฟ้องว่า "No Internet" หรือ "No Internet Access" บน ระบบปฏิบัติการ Windows หรือไม่สามารถเข้าถึง อินเทอร์เน็ต (Internet) ได้ นั่นอาจทำให้หลายสงสัยว่า ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น และเราจะแก้ไขได้อย่างไร บทความนี้จะมาช่วยคุณหาสาเหตุและแก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กัน
เมื่อเกิดความผิดพลาด "No Internet Access" บนระบบปฏิบัติการ Windows ก่อนอื่น คุณควรเริ่มจากการตรวจสอบอุปกรณ์ภายในบ้านต่าง ๆ ว่าเป็นเหมือนกันหรือไม่ เช่น ตรวจสอบจากสมาร์ทโฟน ซึ่งถ้าเป็นบนสมาร์ทโฟน Android ก็อาจจะขึ้นคำว่า "Connected, no internet" หรือมีสัญลักษณ์กากบาทที่ไอคอน Wi-Fi ส่วนมือถือ iPhone หรือ iPad ก็อาจจะขึ้นว่า "No Internet Connection" บน "เมนู Settings" ตามภาพ
วิธีนี้จะทำให้คุณทราบว่า ปัญหานั้นเกิดจากที่อุปกรณ์ของคุณเองหรือเป็นที่เครือข่าย เพราะถ้าอุปกรณ์ของคุณเป็นเหมือนกันหมดก็น่าจะเกิดจากเครือข่าย ซึ่งนั่นทำให้คุณสามารถเลือกจัดการตามวิธีขั้นต่อไปได้ตามเห็นสมควร
1. ลองรีสตาร์ท เครื่องคอมพิวเตอร์ PC ของคุณ (Try to restart your own PC)
2. รีบูตโมเด็ม หรือเราเตอร์ (Reboot your Modem or Router)
ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าปัญหาเกิดจากเครือข่าย และ เกี่ยวข้องกับโมเด็ม (Modem) หรือ เราเตอร์ (Router) ที่คุณใช้อยู่ ทางแก้ง่าย ๆ ก็คือการรีสตาร์ทพวกมัน ปิดสวิตช์ไปเลย หรือจะดึงปลั๊กอะไรก็แล้วแต่ และรอสักครู่ค่อยเปิดใหม่ จากนั้นลองทดลองเชื่อมต่ออีกครั้ง
3. ปิดการใช้งาน VPN ที่เชื่อมต่ออยู่ให้หมด (Disable all connected VPN)
การใช้งานเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) นั้น จัดว่ามีประโยชน์หลายประการ แต่ก็ยังเป็นการเพิ่มชั้นเลเยอร์ทำงานให้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตของคุณ ด้วยเหตุนี้ ปัญหาที่คุณคิดว่าอาจเกิดจากเครือข่าย แต่ที่จริงแล้วอาจเกิดจากระบบ VPN ที่คุณใช้อยู่ก็ได้ อาจเป็นที่เซิฟเวอร์ของมัน หรือ คุณถูกตัดการเชื่อมต่อ VPN เพราะไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์นาน
วิธีแก้นี้ให้ลอง ปิดการใช้ VPN ดู แล้วลองทดสอบเชื่อม Wi-Fi ใหม่อีกครั้ง หากทำแล้วเป็นเหมือนเดิมก็ปิดไว้ก่อนเพื่อลดตัวแปร และไปลองวิธีต่อไป
4. ใช้ระบบ "Network Troubleshooter" ของ Windows (Use Windows Network Troubleshooter)
การใช้ "Network Troubleshooter" อาจสามารถช่วยแก้ไขการเชื่อมต่อที่ตัวอุปกรณ์ PC ของคุณได้ แต่ก็ไม่รับประกันว่ามันจะได้ผล เพราะมันก็แค่การใช้ให้ ระบบปฏิบัติการ Windows ช่วยหาสาเหตุและแก้ไขให้เป็นขั้นเป็นตอน และส่วนใหญ่ก็ไม่เคยจะช่วยได้จริง ๆ
สำหรับ Windows 10
ให้เข้าไปที่ "โปรแกรม Settings" บน Windows (เข้า "Start Menu" → พิมพ์ว่า "Settings")
ไปที่ "เมนู Network & Internet"
เลือก "เมนู Status" จากนั้นคลิก "ตัวเลือก Network troubleshooter" และให้ทำตามขั้นตอนวิธีแก้ไขที่ระบบแนะนำ
1. ให้ไปที่ "เมนู Settings"
2. ตรง "เมนู System" ให้เลือก "เมนู Troubleshoot"
1. หน้าต่อไปคลิก "เมนู Other Troubleshooters"
2. ไปที่ "เมนู Internet Connections" โดยคลิกที่ "ปุ่ม Run"
3. ทำตามคำแนะนำของระบบ
5. ตรวจสอบการตั้งค่า ของหมายเลขที่อยู่ไอพี (Check IP Address Settings)
ขั้นตอนนี้ให้ลองตรวจสอบการตั้งค่า หมายเลขที่อยูไอพี (IP Address) บนเครือข่ายที่อุปกรณ์ของคุณใช้งานอยู่ ว่ามีการกำหนดค่าที่ถูกต้องหรือไม่
สำหรับ Windows 10
1. ให้เข้าไปที่ "หน้าต่าง Settings"
2. เลือก "เมนู Network & Internet"
3. "เมนู Status" ให้คลิกที่ "ปุ่ม Change adapter options" และเลือกรูปแบบการเชื่อมต่อที่ต้องการตั้งค่า
4. เมื่อเปิด "หน้าต่าง Status" ขึ้นมาให้คลิกที่ "ปุ่ม Properties"
5. จากนั้นคลิกที่ "เมนู Internet Protocol Version 4"
6. และทำการเลือกติ๊กที่ช่อง "เมนู Obtain IP address automatically" และ "เมนู Obtain DNS server address automatically"
1. ให้เปิด "เมนู Settings" ไปที่ "เมนู Network & Internet"
2. คลิก "เมนู Advanced network settings"
3. จากนั้นเลือกกการเชื่อมต่อที่คุณใช้งานคลิกหนึ่งครั้ง และกด "ปุ่ม View additional properties"
4. ให้ตรวจสอบว่า "เมนู IP Assignment" และ "เมนู DNS Server Assignment" ว่าถูกเลือกเป็น "Automatic (DHCP)" หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ให้กด "ปุ่ม Edit" และเปลี่ยนมัน Automatic ให้หมด
- จากนั้นลองเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง
6. แก้ไขคีย์ของไฟล์รีจิสทรี (Edit Registry Key)
วิธีนี้อาจยุ่งยากหน่อยแต่ลองแก้ตามดู
1. กด "คีย์ลัด Windows + R" และพิมพ์คำสั่งว่า "regedit" กด "ปุ่ม Enter"
2."หน้าต่าง Registry Editor" ให้ค้นหา "โฟลเดอร์ HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\services\NlaSvc\Parameters\Internet"
3.และค้นหา "เมนู EnableActiveProbing" คลิกไป 1 ครั้ง และตั้งค่า "ช่อง value" เป็น "เลข 1"
4.จากนั้นลองรีสตาร์ทเครื่องและเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง
7. แก้ปัญหาด้วย Command Prompt (Fix the problem by using Command Prompt)
วิธีนี้เราจะลองใช้คำสั่งใน Command Prompt เพื่อแก้ปัญหา No internet ที่ตัวอุปกรณ์ของคุณกัน โดยเริ่มจาก
1. เปิด "โปรแกรม Command Prompt" พิมพ์คำว่า "CMD" ในช่องค้นหาของ "Start Menu"
2. จากนั้นให้คลิกขวาและเลือก "เมนู Run as administrator" เพื่อเปิด "โปรแกรม Command Prompt" แบบ admin
3.ต่อไปให้ทำการรีเซ็ต (Reset) ไฟล์ที่ระบบปฏิบัติการ Windows ใช้เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยใช้สองคำสั่งนี้
4.ถ้าหากไม่ได้ผล ให้ลองสลับ IP คอมพิวเตอร์ของคุณและใช้ IP ใหม่จากเราเตอร์โดยใช้คำสั่งเหล่านี้ทีละคำสั่ง
5.และสุดท้ายให้รีเฟรชการตั้ง ค่า DNS ของคอมพิวเตอร์คุณด้วยคำสั่งนี้
6.จากนั้นให้ลอง Reboot เครื่องใหม่อีกครั้ง
8. ปิดการใช้งาน โปรแกรมแอนตี้ไวรัสบุคคลที่สาม (Disable 3rd Party Antivirus Software)
ถ้าเกิดคุณเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้แต่ "No internet" มีความเป็นไปได้ว่า ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส หรือซอฟต์แวร์เกี่ยวกับความปลอดภัยของคุณ ได้บล็อกการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพราะในอดีตเคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นมาก่อน เช่น โปรแกรมแอนตี้ไวรัส Avast ก็เคยมีปัญหาจากการอัปเดตที่ผิดพลาดทำให้มันมองเว็บไซต์หรือแม้แต่เครือข่ายของคุณเป็นภัยคุกคาม
ดังนั้นให้ลองปิดโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ใช้งานอยู่เพื่อลองทดสอบดู และค่อยเชื่อมต่อ Wi-Fi ใหม่อีกครั้ง
9. อัปเดตไดร์เวอร์ การเชื่อมต่อไร้สาย (Update Wireless Devices Driver)
แน่นอนว่าปกติ เราไม่จำเป็นต้องอัปเดตไดรเวอร์ของฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ แต่ถ้าเกิดปัญหา No Internet ขึ้นมาจากการเชื่อมต่อ Wi-Fi ก็ให้ลองอัปเดตดูเผื่อแก้ไขได้
1.เข้าไปที่ "เมนู Device Manager"
2.เลือก "เมนู Network adapters" และเลือก Driver ที่คุณใช้ (อันที่เป็นชิป Wireless)
3.คลิกขวาและเลือก "คำสั่ง Update Driver"
4.จากนั้นให้กด "ปุ่ม Search automatically for updated drivers software"
5.ถ้ามีเวอร์ชันใหม่ระบบก็จะทำการติดตั้งให้คุณ
6.จากนั้นให้รีสตาร์ทเครื่อง PC ใหม่ และลองเชื่อมต่อครั้ง
7.ถ้าไม่ได้ผลอีกให้ลองเปลี่ยนเป็นเลือก "เมนู Browse my computer for drivers"
8.จากนั้นให้คลิกที่ “Let me pick from a list of available drivers on my computer.”
10.จากนั้นลองรีสตาร์ทเครื่องใหม่อีกครั้ง
10. ลองล้างการตั้งค่า ของเครือข่าย (Try to reset network settings)
มาถึงจุดนี้ หากคุณได้ลองทุกขั้นตอนแล้วก็ยังไม่สำเร็จ ให้ลองใช้วิธีนี้คือการล้างการตั้งค่าเครือข่าย (Reset Network Settings) ของระบบปฏิบัติการ Windows ของคุณ เพื่อให้กลับไปเป็นค่าเริ่มต้น (Default Values) ทั้งหมด
1. คุณสามารถไปที่ "เมนู Settings"
2. เลือก เมนู "เมนู Network & Internet" ไปที่ "ปุ่ม Status"
3. จากนั้นคลิกที่ "ปุ่ม Network reset"
สำหรับ Windows 11
1. ให้ไปที่ "เมนู Settings"
2. เลือก เมนู "เมนู Network & Internet"
3. และคลิกที่ "เมนู Advanced network settings"
4. และกด "ปุ่ม Network reset"
สุดท้ายแล้วถ้ายังไม่สามารถแก้ไขได้ ทางที่ดีที่สุดอาจเกิดจากปัญหาที่เราเตอร์ ให้ลองเปลี่ยนไปใช้สาย LAN ในการเชื่อมต่อดู หรือถ้ายังมีปัญหาอีก ทีนี้ทางเลือกสุดท้ายของคุณคือการรีเซ็ตเราเตอร์กลับเป็นค่าโรงงานแล้วแหล่ะ โดยส่วนใหญ่อุปกรณ์อย่างเราเตอร์จะมีช่องรูเข็มเล็ก ๆ อยู่ด้านหลังเครื่องถ้ามองหาดี ๆ แล้วใช้ที่หนีบกระดาษกดเข้าไปค้างไว้สัก 3 - 4 วินาที เราเตอร์ก็จะถูกรีเซ็ตเป็นค่าโรงงาน และให้คุณตั้งค่าการใช้งานใหม่
แสดงความคิดเห็น